การศึกษาแบบ One size fits all ไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกคน และไม่ได้เหมาะกับทุกพื้นที่ทุกบริบท มีเพียงเด็กที่มีความพร้อมมากกว่าเท่านั้นที่พอจะร่ำเรียนไปจนจบการศึกษาได้ หลายประเทศจึงพัฒนาการศึกษาด้วยการกระจายอำนาจหรือกระจายการเป็นเจ้าของสู่ท้องถิ่นเพื่อให้คนหน้างานตัดสินใจและจัดการเรียนรู้ที่จะให้ดอกออกผลได้จริง เพราะแต่ละพื้นที่มีวิธีการทำงานและโจทย์ความต้องการต่างกัน ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่จะเข้าใจสถานการณ์ความเหลื่อมการศึกษา ไปจนถึงความต้องการของตลาดแรงงานดีที่สุด (หากเขาได้คลุกคลีและมีความเห็นอกเห็นใจกับกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากพอ) จะรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีสำหรับพื้นที่ของตน และรู้ว่าต้องทำงานกับใครบ้างจึงจะทำให้เกิดผล โดยที่ภาครัฐส่วนกลางสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้า ความยั่งยืน และความสามารถที่จะขยายผลได้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการพัฒนาการศึกษาระดับท้องถิ่นยังมีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดสรรงบประมาณ การระดมหาทรัพยากรท้องถิ่น การชี้เป้าและพัฒนาคนในพื้นที่ให้สามารถขับเคลื่อนงานจากต้นทุนที่มีในพื้นที่ รวมถึงเหนี่ยวนำผู้เล่นในภาคส่วนต่างๆ มามีส่วนร่วมในการสร้างการเรียนรู้เชิงพื้นที่ โดยการทำความเข้าใจ ตั้งเป้าหมาย และลงมือทำงานร่วมกันจนเกิดผลสำเร็จ
ประเด็นที่น่าสนใจในการสร้างการเรียนรู้เชิงพื้นที่

ประเด็นหนึ่งที่เป็นความท้าทายของการสร้างการมีส่วนร่วมแต่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก คือ การกระจุกตัวของความยากจนในพื้นที่ที่ได้ก่อให้เกิดช่องว่างทางสังคมเศรษฐกิจ (Socioeconomic Gap) ระหว่างกลุ่มผู้ที่มีความพร้อมมากกว่ากับผู้ที่ความพร้อมน้อยทั้งในและนอกพื้นที่ ซึ่งความพร้อมดั่งกล่าว หมายถึง ต้นทุนชีวิต รวมถึงทรัพยากรที่ต้องมีเพื่อเข้ารับสวัสดิการด้านการศึกษา เช่น ประเภทเรียนฟรี (ค่าเทอม) แต่ยังมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนแฝงที่เด็กไม่อาจมีด้วย เริ่มตั้งแต่ ทุนทรัพย์ (ค่าชุดนักเรียน ค่าเดินทาง ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรมเสริมอื่นๆ ค่าสมัครสอบ) เวลา (เดินทางไปสถานศึกษา ทบทวนบทเรียนทำการบ้าน พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยผู้ปกครองทำงาน ทำงานบ้าน การใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว) สังคม (ค่านิยมของชุมชน ครอบครัวที่ให้คุณค่ากับการศึกษา-การจบการศึกษา เพื่อนที่ชวนกันเรียน ครูที่เข้าใจและมีทักษะเท่าทัน) โดยยังไม่รวมแรงขับเคลื่อนภายในตัวเด็ก เป้าหมายชีวิต ความฝัน การมีวินัย การจัดการอารมณ์ความคาดหวังและการให้อภัยตนเอง เป็นต้น ดังนั้น การแก้ระบบสวัสดิการอย่างเดียวจึงไม่พอ ความพร้อมทางเศรษฐกิจสังคมก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงไปพร้อมกันด้วย
ประเทศไทยประสบปัญหาความยากจนมาอย่างยาวนาน เรื้อรังข้ามรุ่นมาถึง 4 รุ่น แม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหานี้มาต่อเนื่อง แต่ไม่เพียงพอกับโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง เมื่อต้องพบกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น เพราะเมื่อหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ปัจจุบัน พบว่ารายได้ของครอบครัวยากจน 15% ต่ำสุด เฉลี่ยอยู่ที่ 2,762 บาทต่อเดือน ส่วนรายได้ของผู้มีวุฒิมัธยม 6 อยู่ที่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน โดยไม่มีแนวโน้มที่จะมีการขึ้นรายได้ (กสศ., 2566) ซึ่งกลุ่มครอบครัวยากจนแบกรับภาระรายจ่ายด้านการศึกษาสูงกว่าครอบครัวร่ำรวยถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับรายได้ (กสศ., 2566)
เด็กยากจนจำนวนมากจึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เข้าไม่ถึงโอกาสด้านการศึกษา ไม่มีต้นแบบความสำเร็จจากการศึกษาให้เห็นเป็นแรงบันดาลใจ เนื่องด้วยคนในครอบครัวของเด็กเองก็ไม่มีโอกาสเรียนหรือเรียนจบไม่สูง จึงไม่เห็นความเป็นไปได้จากการเรียน ไม่คาดหวังด้านการศึกษากับเด็กและไม่มีแผนการเงินเพื่อส่งเสียเด็กเล่าเรียน เพราะในทุกๆ วัน พวกเขาพบปัญหาที่ต้องแก้ไขเฉพาะหน้า บวกกับการศึกษาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่าปัญหาปากท้องรายวัน หากมีโอกาสครอบครัวมักให้เด็กไปทำงานก่อน เพราะการไปเรียนเท่ากับเสียโอกาสในการหารายได้

ขณะเดียวกัน สังคมก็เกิดระยะห่าง ผู้คนรับรู้เรื่องราวของกันผ่านสื่อ ซึ่งปัญหาความยากจนและเรื่องเกี่ยวกับเด็กมักจะถูกเล่าในเชิงน่าสงสาร-สงเคราะห์ หรือเล่าสถานการณ์ความล้มเหลวด้านการศึกษาว่าเป็นเรื่องปัจเจก มากกว่าเป็นเรื่องของระบบที่ต้องแก้ไข นานวันกลายเป็นการรับสารที่นำไปสู่ความเข้าใจที่ผิด เป็นการตีตราและผลิตซ้ำ ส่งผลให้เกิดความเฉยชากับปัญหาในระบบและรอให้รัฐมาแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ หรือวิธีการอื่นที่ไม่สอดคล้องกับบริบท โดยอาจจะไปสร้างความเคยชินให้กับกลุ่มคนยากจนในการรอรับโอกาส หรือให้โอกาสที่เขาไม่ได้ต้องการหรือเลือกเอง แต่ต้องรับไว้ก่อนด้วยสถานการณ์ไม่มีทางเลือก ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้ เท่ากับระบบก็ไม่ถูกแก้และภาษีก็ถูกใช้กับเรื่องเดิมๆ เช่นกัน
ข้อมูลเชิงลึก ช่องว่างและโอกาสในการสร้างนวัตกรรม

- ทำงานกับคนใกล้ตัวเด็กยากจน เล่าเรื่องราวความสำเร็จจากการศึกษาของคนที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อมโยงกับตนเองได้ ให้เห็นความเป็นไปได้และให้เครื่องมือเพื่อทำให้ครอบครัวเด็กตัดสินใจให้เด็กไปเรียนหรือฝึกทักษะได้
- ออกแบบระบบเครือข่ายเพื่อให้คำแนะนำ ระบุความเสี่ยง ช่วยวางแผนการเรียนต่อ และทำให้ครอบครัวที่มีหนี้สินเห็นความสำคัญและผลตอบแทนของการศึกษา
- นำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการจัดการและบรรเทาปัญหาในชีวิตประจำวันของผู้ดูแลเด็กยากจน
- สนับสนุนคนในพื้นที่กลุ่มเสี่ยง ระบุปัญหาและสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของตัวเองอย่างยั่งยืน
- เสริมอำนาจให้ผู้ปกครองเด็กยากจนให้แก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชนด้วยตัวเอง เพื่อลดภาระบางส่วนในชีวิต

- ประยุกต์เทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ด้านการศึกษาของกลุ่มเสี่ยง ทำให้การศึกษานอกระบบเป็นความปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก น่าสงสาร
- อุปสรรคระดับระบบถูกจัดกลุ่มประเภท (Identify) และแก้ไข เพื่อเปิดโอกาสและดึงดูดผู้เล่นใหม่ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความเสมอภาค ไม่ว่าจะมากหรือน้อย

- จับคู่ช่องว่างของตลาดงานท้องถิ่น กับเด็กที่ยังไม่ได้รับความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อสร้างนวัตกรรมความเสมอภาคทางการศึกษาใหม่ๆ
- ชวนเด็กที่ยังไม่มีความฝันหรือเป้าหมายชีวิต มาตั้งเป้าหมายตามเงื่อนไขของชีวิต เช่น ตั้งเป้าหมายอาชีพและการหารายได้ตามภาระหนี้สินของผู้ปกครอง
อ้างอิง
- กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – เวทีระดมพลังความร่วมมือขับเคลื่อนอนาคตความเสมอภาคทางการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน จ.เชียงใหม่ (29 มิถุนายน 2566) ที่มา https://www.eef.or.th/hearing/chiang-mai/
- รูปภาพประกอบจากบ้านสวนเอ็นอ้านาเทิง https://www.facebook.com/profile.php?id=100067726638911
