สรุปสถานการณ์ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
- ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้อยู่ในอันดับ 3 ของโลก
- ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาเรื้อรังข้ามรุ่นมานานกว่า 4 รุ่นแล้ว
- คนยากจนที่สุด 20% ล่าง 5 จาก 100 เรียนต่อระดับอุดมศึกษา
- เมื่อเทียบรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของคนมีวุฒิมัธยม (13,118 บาท) กับวุฒิปริญญาตรี (27,132 บาท) พบว่าต่างกันถึง 197%
- จากเด็กในการศึกษาภาคบังคับ 9 ล้านคน เด็กในระบบ 1 ใน 5 คน หรือประมาณ 2.5 ล้านคนเสี่ยงเรียนไม่จบและหลุดจากระบบ จากการเผชิญปัญหาความยากจน มีความพิการและระบบไม่ตอบโจทย์ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีปัญหาครอบครัว
- ในช่วงปี 2563-2565 นักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 1.3 ล้านคน
- เปิดดูหนี้สินของผู้รับทุนนักเรียนยากจน พบว่าหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 131,500 บาท โดยมีรายได้เฉลี่ย 1,300 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือนเท่านั้น
- จากเด็กนอกระบบทั้งหมด 1.4 ล้านคน มีเด็กนอกระบบ 7 ใน 10 คน ไม่กลับไปเรียนต่อ ไม่ทำงาน/ฝึกอาชีพ เพราะไม่มีระบบสนับสนุนที่เข้าใจ ขาดเป้าหมายกำลังใจ และสุดท้ายเข้าสู่วงจรจน เจ็บ
กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรม ‘Design Strategies’ คือ
ข้อมูลเชิงลึก บทเรียนสำคัญ และจุดร่วมของวิธีแก้ปัญหา ที่สังเคราะห์จากการเรียนรู้ของนวัตกรสังคมผ่านการลองผิดลองถูกในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมาย กลยุทธ์ 5 ข้อนั้นถูกกลั่นออกมาโดยไม่ใช่เพื่อรวบรวมเครื่องมือ จำพวกเทคโนโลยีหรือการฝึกอบรมเพิ่มความรู้ และไม่ใช่เพื่อระบุการทำงานเชิงระบบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการรวมไอเดียและข้อมูลเชิงลึกที่ได้ทดลองมาแล้วว่าเป็นจุดคาดงัดและสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับความเสมอภาคทางการศึกษาได้ ซึ่งหากนวัตกรศึกษากลยุทธ์เหล่านี้ในแผนภาพ Problem Discovery ก็จะพบว่าวิธีการแก้ปัญหาใดยังเป็นช่องว่าง ยังการมีส่วนร่วมอยู่ และในขณะเดียวกัน วิธีการใดเป็นวิธีการที่ผู้เล่นใช้ร่วมกันและเป็นเทรนด์นวัตกรรมอยู่
จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่จาก 3 สำนักจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสัมภาษณ์นวัตกรด้านความเสมอภาคทางการศึกษาในนิเวศ Social Enterprise NGO ศึกษาข้อมูลงานวิจัย บทสัมภาษณ์และบทความบนอินเทอร์เน็ต กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมด้านความเสมอภาคทางการศึกษามี 5 ข้อ ดังนี้
- ฉายภาพรวมของปัญหาในระบบ เน้นอธิบายความเชื่อมโยงของบุคคลกับปัญหาเชิงระบบในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- สร้างโอกาสที่เอื้อให้คนหลายภาคส่วนมาสร้างนวัตกรรมแก้ไขปัญหาร่วมกัน
- ใช้เทคโนโลยีในการสร้างความเสมอภาค
- ค้นหาทรัพยากรที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เพื่อใช้อย่างเต็มที่
- จัดการการศึกษาโดยใช้ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) นำ

การสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นอาศัยเลนส์ในการมองปัญหาเชิงระบบ ขั้นตอนแรกของการสร้างการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหา มองให้เห็นสาเหตุไปจนถึงผลกระทบของปัญหา เห็นอุปสรรคของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และต้องมองให้เห็นความเชื่อมโยง จุดเชื่อมและรูปแบบ (Pattern) มองให้ลึกลงไปกว่าระดับสถานการณ์หรือการมองว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล
ยกตัวอย่างการใช้เลนส์มองความเชื่อมโยงของปัญหาด้วย ปัญหาการจ้างงานแรงงานที่เป็นเด็กนอกระบบที่มองเผินๆ เราจะเห็นเด็กนอกระบบไม่มีคุณภาพในการทำงาน พึ่งพาไม่ได้ เพราะมาจากบ้านยากจน และไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หากมองลึกลงไปที่ระบบ จะพบว่า ระบบสนับสนุนของเด็กกลุ่มนี้ไม่เอื้อให้พวกเขาเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้จริง
เพราะในความเป็นจริง เด็กกลุ่มนี้แบกรับภาระที่บ้านมากมายจนทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดการชีวิตการเรียนของตัวเองได้แล้วเต็มที่ เมื่อไปเรียน โรงเรียนก็ขาดความยืดหยุ่น ครูไม่เข้าใจ จะประสบความสำเร็จก็ต้องแข่งขันกับคนอื่น และมีใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำให้เด็กกลุ่มนี้ถูกบีบออกจากระบบและกลายมาเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพในที่สุด และภาษีประเทศก็ถูกจัดสรรไปใช้แก้ปัญหาในการป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบ แทนที่จะนำไปพัฒนาเรื่องอื่นๆ ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
เมื่อใดที่คนทั่วไปมองเห็นประสบการณ์หรือสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำว่าเป็นผลลัพธ์ของปัญหาเชิงระบบ เมื่อนั้นวิสัยทัศน์ของเราจะเปลี่ยน จะเกิดความต้องการในนวัตกรรมที่พัฒนาจากความเข้าใจในโครงสร้าง ในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น ไม่ใช่จากความอยากได้อะไรใหม่ๆ แบบฉาบฉวยหรือความสงสารอีกต่อไป

ปัญหาเชิงระบบอย่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาใหญ่และสร้างผลกระทบต่อคนมากมายมาอย่างยาวนาน หากจะแก้ไขปัญหานี้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือของคนหลากหลายภาคส่วนมาร่วมกันแก้ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในปัญหาเองด้วย เพราะทุกคนมีประสบการณ์ ทักษะความสามารถ มีจุดแข็งที่สามารถทำงานด้วยกันภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้
อย่างไรก็ดี การสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การวางแผน การวางกลยุทธ์ และการดูแลคนในองค์กร และการลงมือแก้ปัญหาบนความท้าทาย โดยการเปลี่ยนกระบวนการคิดเชิงขาดดุล (deficit thinking) ที่เชื่อว่าปัญหาไม่มีทางแก้ได้ ติดขัดไปหมด มาเป็นกระบวนการคิดเชิงต้นทุน (asset-based thinking) ที่มองหาความรุ่มรวย ของดี และศักยภาพคนในปัญหามาใช้
อีกทั้ง การร่วมมือกันจนเกิดผลสำเร็จนั้นไม่ง่ายและไม่เกิดขึ้นเองโดยง่าย ต้องอาศัยการปลุกระดมความคิด ความต้องการ โอกาส และระบบสนับสนุนให้จะเอื้อคนที่มีความแตกต่างหลากหลายมาเรียนรู้และทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและราบลื่นที่สุด ดังนั้น องค์กรใหญ่ที่มีอำนาจและมีทรัพยากรสนับสนุนจะต้องเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบสนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนได้มาเจอ ทำงานร่วมกัน และสร้างวัฒนธรรมสร้างสรรค์ใหม่ด้วย

เด็กที่อยู่ในปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงครอบครัวและชุมชนของพวกเขาเจอปัญหามากมายในชีวิตประจำวัน และการเข้ามาของเทคโนโลยีที่มักจะมี solution ในการทุ่นแรง และช่วยบรรเทาปัญหาในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้นั้น ไม่ได้เข้าถึงง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้เท่าใดนัก ยกตัวอย่างความท้าทายในชีวิตประจำวัน เช่น เด็กยากจนไม่มีชุดนักเรียนใส่ หรือหากมีแล้ว ชุดก็อยู่ไม่ได้นานเพราะไม่มีเครื่องซักผ้า ผงซักฟอกและเวลาที่จะรักษาเสื้อผ้าได้ดีเท่าเด็กที่ครอบครัวร่ำรวย ตัวอย่างนี้นอกจากจะทำให้พวกเขาไม่มีชุดใส่ไปสถานศึกษาแล้ว จะเห็นได้ว่าพวกเขาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงกว่าเด็กร่ำรวยในการเปลี่ยนและหาชุดนักเรียนในจำนวนครั้งที่มากกว่า เป็นต้น การปรับใช้เทคโนโลยีที่มีมากมายในตลาดมาแก้ไขปัญหาของคนกลุ่มนี้ได้หรือทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อให้พวกเขามีเวลาและพลังในการเรียน จดจำ พักผ่อน และสร้างสรรค์ มากกว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
นอกจากนี้ ตลาดงานยุคอนาคตนั้นเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แรงงานที่จะทำงานในตลาดนี้จึงไม่ต้องทำทุกอย่างและไม่เน้นใช้วุฒิการศึกษาสูงอีกต่อไป แถมยังมีความต้องการมากพอในตลาดที่เด็กที่มีความหลากหลาย ทั้งในและนอกระบบจะเข้าไปเรียนรู้และหารายได้ได้ กลยุทธ์นี้จะต้องอาศัยความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายและเลนส์ในการมองหาของดีรวมถึงเทรนด์ตลาดแรงงาน เพื่อหาช่องว่าง โอกาส และเชื่อมโยงให้เด็กกลุ่มที่อยู่ในความเหลื่อมล้ำสามารถเข้าตลาดนี้ได้

ในความจริง การเปลี่ยนแปลงเริ่มได้ตั้งแต่ที่บ้านและชุมชนของเรา ซึ่งต่างกับแนวคิดของหลาย ๆ คนที่มองหาทรัพยากรนอกชุมชน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว บ้านและชุมชนมีของดีที่รอการค้นพบ เพียงนวัตกรปรับกระบวนการคิดจากการคิดเชิงขาดดุล (deficit thinking) อย่างการนำคนด้านนอกมาสร้างหรือให้ (สิ่งที่ชุมชนไม่ได้อยากได้) กับชุมชน ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาส่วนมากที่ชุมชนมักพบ มาสู่การใช้เวลาค้นหาและทำความเข้าใจชุมชนจนพบทรัพยากรในพื้นที่เอง โดยเริ่มจากการเชื่อใจว่าคนในชุมชนมีของและทำได้เช่นกันหากได้รับความเสมอภาคอย่างเท่าเทียม
ทรัพยากรเหล่านี้อาจจะเป็นทรัพยากรที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์ (unutilized resources) คน พื้นที่หรือความสามารถใด ๆ ที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก หรืออาจจะอยู่ผิดที่ผิดทาง และเมื่อถูกจัดสรรหรือสนับสนุนอย่างตรงจุด เช่น เสริมทักษะการสื่อสารและทักษะการเงินให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ชอบเรียนเชิงวิชาการ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มเป้าหมายและชุมชนอย่างก้าวกระโดด เปลี่ยนคนที่เคยรับเป็นผู้ให้และผู้สร้าง และเกิดเป็นเครือข่ายที่จะสามารถขยายงานทางความคิดและการลงมือทำในอนาคตต่อไป ถือเป็นการกระจายอำนาจให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรภายนอกเลย

ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีลำดับขั้นทางอำนาจและทางสังคมสูง ทำให้ที่ผ่านมา คนในระบบไม่ได้ฝึกทักษะความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Empathy) แม้จะมีความพยายามในการสื่อสารและฝึกเรื่องทักษะความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่บ้าง แต่ด้วยปัญหาสังคมในปัจจุบัน มีความซับซ้อนและยุ่งเหยิงมาก ก็ยิ่งทำให้คนยังแก้ปัญหาโดยการใช้อำนาจ ว่ากล่าว บีบบังคับ และ
ไล่ออกจากระบบ เพราะเป็นโหมดอัตโนมัติในแก้ปัญหามาตลอด
การปรับแนวความคิดผู้ให้บริการด้านการศึกษาและผู้ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การทำวิจัย การสื่อสารปัญหาและการสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ โดยการใช้ Empathy นำในการบริการจัดการระบบ จะลดลำดับขั้นที่ไม่จำเป็น การใช้อำนาจ (power over) และกดทับการเปลี่ยนแปลง (hierachy) ได้ นอกจากนี้ ความเข้าอกเข้าใจยังจะให้นวัตกรเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและเลือกไอเดียแก้ไขปัญหาได้สำเร็จอย่างยั่งยืนที่สุด โดยไม่คิดไปเอง ไม่ยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น และสร้างโครงข่ายทางสังคมให้แข็งแรง

ข้อมูลเชิงลึกชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Problem Discovery – Framework & Insight for Equitable Education